Family Blog
ตอน เตรียมตัวมีบุตร ต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไรกัน ? (Episode. 1/2) ฉบับคู่มือสำหรับคุณพ่อคุณแม่
ตอน เตรียมตัวมีบุตร ต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไรกัน ? (Episode. 1/2) ฉบับคู่มือสำหรับคุณพ่อคุณแม่ (เทียบระหว่างโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ปี 2562) สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เตรียมมีลูก สิ่งหนึ่งที่ต้องเตรียมความพร้อมคือการวางแผนทางการเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในการเตรียมมีลูก เริ่มตั้งแต่ค่าฝากท้อง, ค่าทำคลอด, ค่าดูแลลูก, ค่าเรียนจนกว่าลูกจะโตและทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ M2G Knowledge จึงเอาค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในการเริ่มมีลูก สำหรับการฝากท้อง ทำคลอด และหลังคลอด มาฝากกันค่ะ ค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์ สำหรับการตั้งครรภ์ที่คุณแม่มีภาวะปกติ ค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์จะมีค่าฝากครรภ์, ค่าตรวจครรภ์, ค่าวัคซีน, ค่ายาต่างๆ สำหรับโรงพยาบาลของรัฐ เฉลี่ยประมาณ 4,000-8,000 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งในการตรวจและอัลตร้าซาวด์ ส่วนของโรงพยาบาลเอกชน เริ่มต้นเฉลี่ย 10,000-50,000 บาทส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อแพคเกจเหมา ค่าใช้จ่ายในการทำคลอด ค่าใช้จ่ายในการทำคลอดจะแบ่งเป็น 3 แบบหลักๆ คือ การทำคลอดแบบธรรมชาติ, การผ่าตัดคลอดและการทำคลอดแบบลูกแฝด โดยค่าใช้จ่ายในการทำคลอดนี้ในกรณีคลอดแบบปกติ ไม่มีอัตราเสี่ยงใดๆ หากการทำคลอดในกรณีพิเศษค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นแล้วแต่กรณี ส่วนใหญ่สำหรับการทำคลอดในกรณีไม่ต้องการมีบุตรแล้วก็สามารถทำหมันหลังจากการทำคลอดทันทีได้เช่นกัน โดยจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ค่าใช้จ่ายในการทำคลอดจะส่วนใหญ่จะครอบคลุมค่าแพทย์ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายสำหรับสูติ-นรีแพทย์, กุมารแพทย์, วิสัญญีแพทย์และค่าแพทย์ผู้ช่วย นอกจากนี้ยังรวมถึงค่าห้องคลอด, ห้องผ่าตัดคลอด, ห้องพักฟื้น, ค่าเครื่องมือแพทย์ต่างๆ, ค่าเวชภัณฑ์, ค่ายาและค่าห้องพัก (โดยอาจมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติมตามแพคเกจเสริมต่างๆ อาทิ ค่าบริการจัดการทำใบสูติบัตร, ค่าอบรมหลักสูตรต่างๆ สำหรับการเลี้ยงลูกอ่อนและการดูแลคุณแม่หลังคลอดเป็นต้น) สำหรับโรงพยาบาลของรัฐ ค่าใช้จ่ายในการทำคลอดแบบธรรมชาติ เฉลี่ยประมาณ 5,000-15,000 บาทและกรณีผ่าคลอด เฉลี่ยประมาณ 15,000-30,000 บาท ส่วนโรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายในการทำคลอดแบบธรรมชาติ เฉลี่ยเริ่มต้นประมาณ 30,000-90,000 บาทและกรณีผ่าคลอด เฉลี่ยเริ่มต้นประมาณ 60,000-150,000 บาท ในกรณีคลอดแบบพิเศษ เช่น คลอดแบบลูกแฝดก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น, หรืออาการแทรกซ้อนอื่นๆ ค่าใช้จ่ายจะแล้วแต่กรณี ส่วนค่าทำหมันเพิ่มก็จะอยู่ที่ประมาณ 20,000-30,000 บาทโดยประมาณค่ะ แต่ส่วนใหญ่พอรวมกับแพคเกจคลอดบางที่ก็ราคาไม่สูงมากนักค่ะการใช้สิทธิต่างๆ ...
ไขข้อข้องใจ..!! จักรยานเด็กแบบไหนเหมาะกับลูก วัย 2-9 ขวบ
ไขข้อข้องใจ..!! จักรยานเด็กแบบไหนเหมาะกับลูก วัย 2-9 ขวบคุณพ่อคุณแม่หลายท่านมีปัญหาเวลาเลือกซื้อจักรยานให้ลูกๆ บางครั้งลองซื้อไปใช้แต่ลูกกลับไม่สนุกในการขี่เล่น เพราะบางครั้งสูงไป บางครั้งเตี้ยไป บางคันเวลาจับไม่ถนัดมือ เมื่อยหลัง จับแขนไม่ถนัด ขาไม่ถึง ลูกๆ จึงกลัวไม่กล้าเล่น M2G Knowledge มีข้อแนะนำในการซื้อจักรยานสำหรับเด็กเล็กมาฝากค่ะการเลือกซื้อจักรยาน 4 ข้อสำหรับคุณพ่อคุณแม่ สำหรับเด็กอายุ 2-9 ขวบ 1. ความสูงของลูก ใช้ในการตัดสินใจในการเลือกซื้อ ความสูงประมาณ 85-105 ซม. เหมาะกับจักรยานล้อขนาด 12" ความสูงประมาณ 105-135 ซม. เหมาะกับจักรยานล้อขนาด 16" ความสูงประมาณ 115-150 ซม. เหมาะกับจักรยานล้อขนาด 18"เนื่องจากความสูงของเด็กจะมีผลต่อการขับขี่ เพราะเด็กตัวสูงขึ้น แขน ขายาวขึ้นหากเลือกจักรยานที่โครงสร้างเล็กเกินไปก็ทำให้เด็กขี่ไม่ถนัดแต่จักรยานใหญ่กว่าเด็กมากเกินไปก็อาจสร้างความกลัวให้เด็กในการเริ่มหัดขี่จักรยานได้เช่นกัน ดังนั้นควรเลือกขนาดให้พอดีกับส่วนสูงของลูกๆ เพื่อให้น้องๆ หัดขับได้อย่างสนุก ใช้ร่างกายได้เหมาะสมไม่เกิดการปวดเมื่อยจากการที่ขับไม่ถนัดและอาจทำให้การขับขี่ไม่ปลอดภัยได้2. มีล้อเสริม 2 ล้อหลัง จักรยานที่มีล้อหลังเสริมเพื่อให้ลูกๆ หัดถีบจักรยานได้ก่อน เนื่องจากเด็กวัยนี้เป็นวัยที่เริ่มหัดขับจักรยาน ส่วนใหญ่เด็กจะเริ่มไถจักรยานก่อน ดังนั้นจึงให้ฝึกเริ่มถีบวงล้อจักรยานได้ซึ่งช่วยให้เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อของลูกด้วย เมื่อลูกสามารถถีบจักรยานได้คล่องจึงค่อยถอดล้อเสริมออกเพื่อฝึกการทรงตัวต่อไป3. ความปลอดภัย ควรเลือกซื้อจักรยานที่คำนึงถึงความปลอดภัย เนื่องจากเด็กๆ ยังไม่มีความระวังระวังเท่าผู้ใหญ่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรเลือกจักรยานที่มีที่บังโซ่ป้องกันขาของลูกไปโดนโซ่และเกิดการบาดเจ็บได้ นอกจากนี้ ควรมีเบรกซึ่งเด็กๆ อาจยังขี่ไม่ได้หรือขี่ได้ไวก็จริง แต่การฝึกให้ใช้เบรกตั้งแต่เริ่มเพื่อให้เกิดความเคยชินกับลูกเวลาขี่จักรยานได้คล่องในอนาคต และมีกระดิ่งให้เด็กๆ ฝึกใช้เพื่อฝึกการขับขี่ปลอดภัย4. สีสัน ลวดลาย การจูงใจด้วยจักรยานที่มีสีสัน หรือ ลวดลายที่เด็กๆ ชอบสามารถช่วยให้เด็กมีความสนุกในการเล่น มีความพยายามให้การฝึกมากขึ้นได้ ทำให้เด็กๆ ไม่เบื่อจักรยานและเด็กจะได้ออกกำลังกายมากขึ้นได้ปัจจัยหลักๆ 4 ข้อใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อจักรยานสำหรับเด็กๆ ได้ดี ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่ใช้พิจารณาประกอบ เช่น ความคงทนของจักรยาน , ฟังก์ชั่นต่างๆ ตามที่ต้องการ สำหรับเด็กๆ อย่างตะกร้าใส่ของหน้ารถให้น้องๆ ได้ใส่กระติกน้ำหรือตุ๊กตาตัวโปรดได้อีกด้วยสนใจของเล่นเสริมทักษะและพัฒนาการทุกช่วงวัย >>> คลิก ✅ สั่งซื้อสินค้า https://bit.ly/2ktAmIjของเล่นคุณภาพของ M2G #ครอบครัวอบอุ่น #ของเล่นเสริมทักษะ #ของเล่นคุณภาพ #M2GFamilyStore #คุณพ่อคุณแม่ไอดอล #หาจักรยานคู่ใจ #จักรยานสำหรับเด็ก✅ แคทตาล็อกสินค้า https://www.instagram.com/m2g.thailand/✅ สอบถามเพิ่มเติมLine: @m2g.thailandTel: 0924913991
อาหารอันตรายที่เด็กๆ ไม่ควรกิน #เสี่ยงสุขภาพและพัฒนาการเด็ก
"อาหารอันตราย" ที่เด็กๆ ไม่ควรกิน #เสี่ยงสุขภาพและพัฒนาการเด็ก1. อาหารที่มีรสหวานจัดมากเกินไป อย่าเข้าใจผิดว่าจะทำให้เด็กๆ เสี่ยงโรคอ้วนอย่างเดียวเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วความหวานยังทำลายสมองของลูกรักอีกด้วย จากผลการวิจัยพบว่าน้ำตาลฟรุกโตส หากมีปริมาณมากเกินไปส่งผลให้สารอินซูลินทำงานผิดปกติ อาจทำให้การประมวลผลของสมองผิดพลาด ทำงานได้ไม่ดี ดังนั้นการให้เด็กๆ รับประทานอาหารและขนมที่มีรสหวานมากเกินไปบ่อยๆ อาจจะต้องหลีกเลี่ยงและดูแลให้อยู่ในปริมาณที่พอดีเพื่อไม่ให้ลูกของคุณต้องเสี่ยงอาการเหล่านี้2. อาหาร Junk Food (อาหารขยะ) เนื่องจากอาหารเหล่านี้มักมีสารกันบูดในปริมาณมาก มีโซเดียมมากเกินความจำเป็นและมีคุณค่าทางโภชนาการไม่ครบถ้วน ส่งผลต่ออวัยวะภายในร่างกายหลายอย่าง อาทิ ตับ, หัวใจ และอาจก่อให้เกิดโรคเบาหวาน, ความความดัน, โรคอ้วน, โรคไขมันอุดตันตามเส้นเลือดได้3. อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง เพราะอาหารเหล่านี้ต้องผ่านขั้นตอนการยืดอายุอาหารให้สามารถเก็บไว้ได้นานจึงมีสารเคมีต่างๆ หากสะสมในปริมาณมากๆ ย่อมก่อให้เกิดผลร้ายต่อสมองของเด็กๆ ทำให้พัฒนาการผิดปกติและอาจถึงขั้นทำลายระบบประสาทส่วนกลางและส่งผลให้เป็นโรคสมองเสื่อมในอนาคต4. อาหารที่ผ่านการแปรรูป อาทิ ไส้กรอก, แฮม เป็นต้น อาหารประเภทนี้มักมีการใส่สารกันบูดและโซเดียมในปริมาณมากเช่นกัน ดังนั้นหากรับประทานเป็นประจำจนเกิดการสะสมมากๆ ส่งผลต่อสมองเช่นเดียวกับอาหารกึ่งสำเร็จรูป5. ชา, กาแฟและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เนื่องจากคาเฟอีนออกฤทธิ์ให้สมองตื่นตัวส่งผลให้เด็กๆ อาจนอนไม่หลับหรือนอนน้อยและการขัดขวางการดูดซึมของธาตุเหล็กในกระแสเลือด ดังนั้นการพักผ่อนให้เพียงพอของเด็กมีผลต่อพัฒนาการที่ดีเพื่อการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและเสริมสร้างอวัยวะต่างๆ เวลานอนหลับเต็มที่ นอกจากนี้สมองต้องการออกซิเจนเพื่อหล่อเลี้ยงสมองเพื่อการพัฒนาการของเด็กๆ อีกด้วยM2G Knowledge นำความรู้มากฝากเพื่อนๆ ให้สามารถนำไปปรับใช้เพื่อพัฒนาการที่ดีของเด็กๆ นะคะ ติดตามสาระดีดีที่เอามาฝากได้ทางเพจ M2G Family Store ได้ค่ะสนใจของเล่นเสริมทักษะและพัฒนาการทุกช่วงวัย สามารถคลิกชมของเล่นคุณภาพของ M2G ได้นะคะ#ครอบครัวอบอุ่น #ของเล่นเสริมทักษะ #ของเล่นคุณภาพ #M2GFamilyStore #อาหารอันตรายที่เด็กไม่ควรกิน
ทำยังไง ? ไม่ให้ลูกติดมือถือ by M2G Knowleged
ทำยังไง ? ไม่ให้ลูกติดมือถือ by M2G Knowleged ยุคสมัยเปลี่ยนไป เทคโนโลยีเข้ามาจนเรียกได้ว่ากลายเป็นปัยจัยที่ 5 ไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมือถือ แทปเลต คอมพิวเตอร์ และด้วยเหตุนี้ทำให้การดูแลลูกเปลียนไปตามยุคสมัย ผู้ปกครองต้องทำงาน ไม่มีเวลามากพอในการดูแลลูกๆ และสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เด็กๆ จดจ่อและไม่ซนก็กลายเป็นมือถือไปเรียบร้อยแล้ว ประโยชน์ของมือถือมีมากทั้งช่วยเป็นเพื่อนเล่นให้กับลูกๆ มีข้อมูลความรู้ ความบันเทิงเกี่ยวกับเด็กๆ ให้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น เด็กๆ เข้าใจง่ายขึ้นไวขึ้น แต่การที่อะไรมากไปย่อมไม่ดีแน่นอน เด็กๆ หลายคนกลายเป็นเด็กติดมือถือต้องดูตลอดเวลา พอคุณพ่อคุณแม่ให้เลิกดูก็งอแง ร้องไห้ งอล โกรธ แล้วคุณพ่อคุณแม่จะรับมืออย่างไรให้ลูกๆ เล่นมือถือได้อย่างพอดีและเกิดประโยชน์และ วันนี้ M2G Knowledge มีเทคนิคง่ายๆ มาฝากกันค่ะวิธีการแก้ โรคติดมือถือในเด็กๆ หรืออาจเรียกว่า โมโนโฟเบีย1. ทำความเข้าใจกับลูกๆ ถึงประโยชน์และโทษของมือถือ2. ไม่ห้ามให้เล่นมือถือแต่มีการกำหนดเวลาในการใช้มือถือ โดยแบ่งเป็น - ใช้มือถือเพื่อการเรียน ค้นคว้าข้อมูล, ศึกษาหาความรู้- ใช้มือถือเพื่อความบันเทิง เล่นเกมส์, ดูรายการโปรดในยูทูป เป็นต้นโดยคุณพ่อคุณแม่ต้องกำหนดเวลาที่ชัดเจนว่ากี่นาทีและคอยดูแลให้เป็นไปตามกฎตอนตั้งกฎอาจมีการถามความคิดเห็นเด็กๆ ว่าควรให้เวลาเท่าไร และชี้แจงเหตุผลต่างๆสิ่งสำคัญคือต้องจริงจังกับกฎที่ร่วมกันตั้งขึ้น หากปฏิบัติได้ในระยะเวลาหนึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจมีการให้รางวัลบ้างและหากปฏิบัติไม่ได้ตามกฎต้องมีการกำหนดบทลงโทษร่วมกันด้วย3. ให้มือถือในเวลาที่จำเป็นในกรณีเด็กเล็ก ส่วนเด็กโตที่สามารถให้รับผิดชอบได้เองแล้วต้องมีการคุยถึงการกำหนดเวลาให้ชัดเจน4. แบ่งเวลาในการให้ทำกิจกรรมอื่นๆ กับลูกๆ ด้วย เช่น การออกกำลังกาย, การทำอาหารร่วมกัน, การช่วยกันทำงานบ้านเพื่อให้เด็กๆ มีกิจกรรมที่หลากหลายและแบ่งเวลาได้ดี5. เป็นตัวอย่างที่ดี คุณพ่อคุณแม่ก็ควรแบ่งเวลาในการใช้มือถือเช่นกัน ใช้เวลาที่ต้องอยู่กับลูกและครอบครัวให้เต็มที่และใช้มือถือในช่วงเวลาดังกล่าวเฉพาะจำเป็นจริงๆ6. การหาความสนใจหรือความถนัดอื่นๆ ที่เด็กๆ ชอบ โดยคุณพ่อคุณแม่อาจหาสิ่งของมาสนับสนุนเพื่อฝึกการเรียนรู้ หรือ อาจพาไปเรียนเพิ่มเติมเพื่อให้เด็กๆ สนใจสิ่งที่ตนเองรักและถนัดมากกว่ามือถือของเขานั่นเองการปรับพฤติกรรมของเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด คุณพ่อคุณแม่ต้องอาศัยความรักและความเข้าใจเป็นหลัก ค่อยๆ ปรับอย่างใจเย็นเพราะเด็กๆ ต้องอาศัยการเรียนรู้ และอยากมีความคิดเป็นของตนเองเพื่อสร้างตัวตนของเขา ดังนั้น หากจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใดรวมถึงการเล่นมือถือแบบไม่วางมือด้วยแล้วละก็ คุณพ่อคุณแม่ต้องคุยกับลูกด้วยความรักและห่วงใยแสดงให้ลูกๆ รับรู้ เพียงเท่านี้เด็กๆ ก็พร้อมที่จะเปิดใจรับง่ายขึ้นและสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ดีขึ้นด้วยนั้นเอง #M2GFamilyStore เป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวไม่ติดมือถือนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีค่ะ สนใจของเล่นเสริมทักษะและพัฒนาการทุกช่วงวัย สามารถคลิกชมของเล่นคุณภาพของ M2G ได้นะคะ#ครอบครัวอบอุ่น #ของเล่นเสริมทักษะ #ของเล่นคุณภาพ #M2GFamilyStore #แก้ปัญหาลุกติดมือถือ...
Key Success คุณแม่นักธุรกิจ "งานดี ครอบครัวอบอุ่น"
Key Success คุณแม่นักธุรกิจ "งานดี ครอบครัวอบอุ่น" 1. “รักนำทาง” สิ่งสำคัญเวลาทำอะไรของคุณแม่ตัวอย่างที่สามารถดูแลลูกและครอบครัวได้ดี พร้อมยังมีหน้าที่การงานที่ก้าวหน้ามั่นคง คือ การใช้ความรักในการทำสิ่งต่างๆ ในที่นี้ คุณแม่ที่เก่งงาน มักจะสนุกกับงานที่ทำและใช้ความรักในการดูแลครอบครัว เวลาทำทั้งสองอย่างก็ไม่รู้สึกเหนื่อยและประสบความสำเร็จ 2. “แบ่งเวลา” การแบ่งเวลาแยกแยะระหว่างเวลางานกับเวลาของครอบครัวให้ชัดเจนช่วยให้คุณแม่ประสบความสำเร็จในทั้ง 2 เรื่อง โดยเวลาที่อยู่กับครอบครัวก็ใส่ใจโฟกัสเรื่องครอบครัว ส่วนเวลาทำงานก็นึกเรื่องงานเป็นหลัก ไม่ทิ้งเรื่องใดเรื่องหนึ่งอาจต้องใช้เวลาในการจัดสรรเวลาให้ลงตัวและการปรับตัวของคุณแม่ 3. “เป้าหมายชัดเจน” การกำหนดเป้าหมายของงานอย่างมีแบบแผน สามารถช่วยให้การทำการราบรื่นขึ้น มีทิศทางและทำให้สามารถควบคุมการทำงานได้ดีกว่าแบบไม่มีแบบแผนเพราะจะช่วยให้คุณแม่ไม่เหนื่อยกับงานมากเกินไป จนทำให้เอาเวลางานมาเกินในเวลาที่ต้องใส่ใจครอบครัวด้วย 4. “บริหารทีม” การหาคนมาช่วยแบบทีมเวิร์คบริหารทีมงานให้ทำงานได้ดีแทนเราเพื่อมีเวลาดีดีให้ครอบครัว คุณแม่ที่ประสบความสำเร็จหลายท่านก็ใช้การวางแผนที่ดีและบริหารคนมาช่วยในด้านต่างๆ ให้สำเร็จ ด้วยการพัฒนาทีมงานที่ทำงานด้วย เมื่องานไปได้สวย คุณแม่ก็มีเวลาเพียงพอในการอยู่กับครอบครัว